ประวัติ จอห์น เลนนอน thaigers studios.

<script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({
google_ad_client: "ca-pub-7669824348356954",
enable_page_level_ads: true
});
</script>
ประวัติ จอห์น เลนนอน
John Lennon Thaigers Studios...
1
"เมื่อผมอายุได้ 5 ขวบ แม่ผมบอกเสมอว่า ความสุขเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต...มีอยู่วันหนึ่งที่โรงเรียนถามผมว่า โตขึ้นผมอยากเป็นอะไร ผมตอบไปว่า "ความสุข" เขาบอกว่าผมไม่เข้าใจคำถาม ผมก็เลยบอกพวกเขาว่า "พวกคุณไม่เข้าใจ ชีวิต..."
นี่คือความคิดของเด็กชายที่ชื่อ จอห์น เลนนอนครับ... เป็นคำพูดจากปากของเด็กชายวัยสดใสธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่แฝงไปด้วยข้อคิดและปรัชญาที่บ่งบอกได้ว่า เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต และมีความคิดที่อัจฉริยะเกินวัย แตกต่างจากเด็กทั่วไปจริงๆครับ
หลายคนชื่นชอบจอห์น เลนนอน ในฐานะนักร้องดังของสุดยอดวงดนตรีแห่งยุค อย่างThe Beattles บ้างก็ชอบเขาในฐานะกวีนักแต่งเพลงอมตะ ที่มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจผู้มอบความสุขให้คนฟัง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ชื่นชอบเขา ในฐานะผู้เรียกร้องสันติภาพและต่อต้านสงครามให้แก่มวลมนุษยชน แน่นอนครับว่า เมื่อมีคนรัก ก็ต้องมีคนชัง เป็นเรื่องธรรมดาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมจึงถือโอกาสนี้หยิบยกเรื่องราวชีวประวัติของจอห์น เลนนอนมาเล่าให้ทุกคนฟัง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโยชน์ต่อผู้ชมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ดังนั้นคลิปนี้จึงเหมาะสำหรับเพื่อนๆน้องๆ หรือใครก็ตามที่ยังไม่ทราบประวัติของนักร้องผู้นี้ เมื่อพร้อมแล้ว ไปรู้จักกับเขากันเลยครับบบ.
2
จอห์น วินสตัน เลนนอน John Winston Lennon, เกิดวันที่9 ตุลาคม ปี1940 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงก้องโลก และเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งวงเดอะบีเทิลส์ วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากที่สุด ในประวัติศาสตร์วงการดนตรีเท่าที่โลกนี้เคยมีมา โดยมี พอล แม็กคาร์ตนีย์สมาชิกวง เป็นแนวร่วมคนสำคัญซึ่งเป็นคู่หูนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยอ้างอิงจากสมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเสียงแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ RIAA เดอะบีเทิลส์ได้รับการยืนยันว่าเป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายราว 178ล้านก็อปปี้ สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และ600ล้านก็อปปี้ทั่วโลก
3
จอห์นเกิดและเติบโตที่เมืองลิเวอร์พูล เขามีความคลั่งไคล้ดนตรีแนวสกิฟเฟิลมาก
เมื่อตอนที่จอห์นอายุ 16 ปี เขาได้ตั้งวงดนตรีชื่อควอร์รี่ แมน (Quarry Man) และเปิดการแสดงกันในโรงเรียน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รู้จักกับ พอล แมกคาร์ตนีย์ ณ จุดนี้เอง จอห์นและพอลก็ได้มาร่วมงานกัน พร้อมกับจอร์จ แฮริสัน โดยมี ริงโก้ สตาร์เข้ามาร่วมวงเป็นเต่าทองตัวที่4แทนทีพีต เบสต์ ซึ่งต่อมาในปี 1960 ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเดอะบีเทิลส์ ที่โด่งดังพลิกวงการเพลงจนกลายเป็นกระแสBeattlemaniaในเวลาต่อมา
การแสดงของวงเข้าตา Brian Epstein ซึ่งต่อมาเป็นผู้จัดการวง บทเพลงแรกของ จอห์น เลนนอน ที่ทำให้วงดนตรีขนาดเล็กเท่าตัวเต่าทองของเขาโด่งดังข้ามทวีป จากเกาะอังกฤษไปสู่แผ่นดินอื่นเกือบทั่วโลก คือเพลง "Please Please Me" ปี1963 เป็นเพลงรัก เนื้อหาวนเวียนอยู่กับการอ้อนวอนขอให้ "คุณเอาใจผม เหมือนกับที่ผมเอาใจคุณ" เขาเล่าไว้ว่าได้แรงบันดาลใจจากเพลงของนักร้องนักดนตรีชาวอเมริกันผู้เป็นต้นแบบดนตรีร็อกอย่าง Roy Orbison กับ Bing Crosby เป็นการได้แรงบันดาลใจในการประพันธ์เนื้อร้องและทำนอง สะท้อนให้เห็นว่าเลนนอนในวัยหนุ่ม ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เป็นนักดนตรีที่สุงสิงอยู่กับ "ความสนใจของตัวเอง" ทั้งในแง่ของรูปแบบ และเนื้อหาตามประสาวัยรุ่นทั่วไป
4
สมัย เด็กๆ จอห์นชอบวาดภาพผู้ที่พิการทุพพลภาพ และครูคิดว่าเขาน่าจะสอบเข้าไปเรียนในวิทยาลัยศิลปะได้ และเขาก็สอบได้ ที่วิทยาลัยแห่งนี้เองที่เขาได้พบกับซินเธีย โพเวลล์ ผู้หญิงซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภรรยาคนแรกของเขา
จอห์นแต่งงานกับซินเธีย โพเวลล์ ในปี 1962 มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือจูเลียน เลนนอน แต่ที่สุดก็หย่าขาดจากกัน เมื่อจอห์นพบรักใหม่กับ โยโกะ โอโนะ ที่ดิ อินดิก้า แกลเลอรี่ ปี 1966 หลังจอห์นสมรสกับโยโกะ โอโนะ เขาเปลี่ยนชื่อเป็น จอห์น โอโนะ เลนนอน
ปี 1968 ทั้งคู่เคยถ่ายภาพเปลือยไร้อาภรณ์เพื่อใช้เป็นภาพปก อัลบั้ม “อันฟินิชเชด มิวสิก นัมเบอร์ 1 : ทู เวอร์จิ้นส์” ซึ่งครั้งนั้น ผลตอบรับของภาพชุดดังกล่าว เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก การแสดงออกเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความดูดดื่ม เสน่ห์หาระหว่างทั้งคู่ ทั้งยังเป็นความกล้าหาญในการแสดงออกจากความรักที่มีต่อกันให้สังคมได้รับรู้
จอห์นและโยโกะได้ร่วมกันเคลื่อนไหว ประท้วงรัฐบาล ต่อท่าทีที่มีในยุคสงครามเย็น หรือ สงครามเวียดนาม ทั้งคู่ร่วมจุดกระแสสันติภาพในยุคนั้น ด้วยการแสดงสัญลักษณ์ต่าง ๆด้วยลุคที่ดู “หัวรุนแรง”ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหาที่ใช้เขียนเพลงหรือประท้วงด้วยการใช้ชีวิตอยู่บนเตียงนอนโดยไม่ออกไปไหน หรือแม้กระทั่งการคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ MBE เพื่อประท้วงที่กองทัพอังกฤษที่เข้าร่วมสงคราม เขาใช้ชื่อเสียงร่ำหาสันติภาพจากคนทั่วโลก ทำให้มีทั้งคนที่ ‘รัก’ และ ‘ชัง’ จนได้สมญานาม “มหาตมะ คานธี” แห่งวงการเพลงของยุคนั้น จากนั้นในปี 1970 วงThe beatleก็มาถึงจุดตกอับ ซึ่งเป็นยุคท้ายๆก่อนจะยุบวงไป ในขณะที่ เลนนอนออกผลงานเดี่ยวของตัวเอง ในอัลบั้ม จอห์น เลนนอน/พลาสติกโอโนะแบนด์ และอัลบั้ม อิแมจิน ซึ่งได้รับคำยกย่องมากมาย ซึ่งมีเพลงโดดเด่นอย่าง "กิฟพีซอะชานซ์" "เวิร์กกิงคลาสฮีโร" และ "อิแมจิน"
5
แม้ความรักของทั้งสองในช่วงเริ่มแรก จะไม่ค่อยถูกต้องนัก เนื่องจากเสียงต่อต้าน กับความรักที่ค้านสายตาของทั้งสอง ผนวกกับเหตุผลที่แฟนคลับ ไม่ปลาบปลื้มฝ่ายหญิง เพราะถูกตีตราว่าเป็นหญิง จอมฉกที่ทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งจอห์นมาจากซินเธีย ทั้งยังทำให้ชีวิต จอห์น ตกต่ำลง นับตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในชีวิต ไม่เฉพาะด้านครอบครัวเท่านั้น เนื่องจากโยโกะเข้ามามีอิทธิพลกับเรื่องงาน มีข่าวลือสะพัดออกมาว่า โยโกะเป็นชนวนทำให้ 4 เต่าทอง ถึงคราววงแตก ทั้งคู่จึงตัดสินใจแยกกันอยู่เป็นเวลานาน 14 เดือน ซึ่งต่อมา โยโกะได้มีพยานรัก คือ ฌอน เลนนอน ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง รวมทั้งวางมือจากงานเพลง เพื่อมาเลี้ยงลูกและเป็นพ่อบ้านที่ดี
เลนนอนเผยให้เห็นนิสัยหัวรั้นและมีไหวพริบตรงไปตรงมาในด้านดนตรี การเขียน การวาดภาพ และภาพยนตร์ รวมถึงในบทสัมภาษณ์ หลังจากมีประเด็นเกี่ยวกับกิจกรรมความเคลื่อนไหวเชิงสันติภาพและทัศนคติทางการเมือง เขาจึงย้ายไปแมนแฮตตัน ในปี 1971 ซึ่งคำวิจารณ์เกี่ยวกับสงครามเวียดนามทำให้รัฐบาลของริชาร์ด นิกสัน พยายามเนรเทศเขาเพราะการกดดันของสาธารณชน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพลงของเขาบางเพลงถูกนำไปเป็นเพลงสรรเสริญความเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม และกลุ่มต่อต้านวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าจอห์นเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลไม่น้อยครับ
6
จากหนุ่มน้อยผู้ขับกล่อมเพลงรัก เรียกร้องความสนใจจากสาวๆ กลายเป็นหนุ่ม "หัวรุนแรง" ผู้พยายามใช้ชื่อเสียง เงินทอง บทบาทหน้าที่และศักยภาพทางดนตรีของตน คะยั้นคะยอขอสันติภาพจากเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ในระยะเวลาการทำงานไม่ถึง10 ปี ดูเหมือน เจ้าตัว จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เติบโตขึ้น มีสาระมากขึ้น และทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น
เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูดีกว่าดารานักร้องทั่วไป แม้คนจำนวนหนึ่งจะไม่ปลาบปลื้มพฤติกรรมของเขา ระแวงว่าเขาสร้างภาพเพียงเปลือกนอก วิจารณ์ทัศนคติของเขาว่าตื้นเขินไร้เดียงสา แต่ก็ยากจะปฏิเสธสถานะความเป็น เสมือน "มหาตมะ คานธี" แห่งวงการเพลงของเขา อย่างน้อยเพลงอย่าง "Imagine" ที่จอห์น เลนนอน เขียนขึ้น ก็กระตุ้นให้วัยรุ่นมองด้านอื่นของชีวิตและสังคมมากกว่าเพลงอย่าง "Please Please Me" ไม่ว่าจะเป็นการมองที่ลึกซึ้งหรือตื้นเขินขนาดไหนก็ตาม
7
ชีวิตในสายตาของสาธารณะชน จอห์น เลนนอน จึงดูเหมือนจะมีสองยุคสมัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ยุคแรกคือนักร้องขวัญใจวัยรุ่น เป็นหัวหอกของ The Beatles วงร็อกที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีสมัยใหม่ (ที่อาจเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด หากวัดจากความเป็นตำนานและความสำเร็จเชิงพาณิชย์ที่ยังดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น) สถานะของเขาในตอนนั้นไม่ต่างจากความนิยมที่สาวน้อยและสาวใหญ่มีให้ต่อสมาชิกวงประเภท "บอยแบนด์" ในปัจจุบัน นั่นคือห่างไกลจากการกระตุ้นต่อม "สำนึกต่อสังคม" ทั้งในภาพลักษณ์และผลงาน /ตัวตนของเขาเป็นเพียงเครื่องหมายการค้า และเป็น "ต้นแบบ" ทางแฟชั่น บทเพลงของเขา (หรือของ "พวกเขา" ในนาม เดอะบีเทิลส์) อาจมีความน่าตื่นเต้นประทับใจในแง่ความแปลกใหม่ของเสียงดนตรี แต่ในด้านสาระและความหมาย มีเพียงไม่กี่เพลงเท่านั้นที่ขยับเคลื่อนห่างออกไปจากคำว่า "รัก"
8
ทว่า จอห์น เลนนอน ในยุคหลัง กลับกลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ การต่อต้านสงคราม การเรียกร้องสันติภาพ และเป็น "วีรบุรุษของชนชั้นกรรมกร" ดังที่เขาขับร้องด้วยน้ำเสียงขื่นขม อมประชดประชันในเพลง "Working Class Hero" จากผลงานอัลบัมเดี่ยว ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นอย่างชัดเจนของ "จอห์น เลนนอน คนใหม่" ผู้ไม่อาจหวนกลับไปร่ำร้องอ้อนวอนให้สาวๆ "เอาใจ" เขา เหมือนที่เคยทำอีกแล้ว
ระหว่าง จอห์น เลนนอน ยุคแรก กับ จอห์น เลนนอน ยุคหลัง ชายหนุ่มคนใดสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของนักร้องนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกผู้นี้ เขาเป็นมนุษย์ผู้หมกมุ่นกับความรักและความต้องการของตัวเอง หรือเป็นยอดมนุษย์ผู้ห่วงใยความเป็นไปในสังคมมากกว่าความสุขสบายส่วนตัวกันแน่
9
คำตอบอาจไม่ใช่ทั้งสองคน
ในความต่างของเพลงอย่าง "Please Please Me" และเพลง "Imagine" ยังมีความเหมือนที่แฟนเพลงทั้งสองยุคของเขาอาจไม่สามารถสังเกตเห็นในขณะนั้น แม้เพลงแรกเป็นเพลงที่พูดกับผู้หญิงเพียงหนึ่งคน และเพลงที่สองพูดกับมนุษยชาติ แต่สำหรับผู้พูดที่ชื่อ จอห์น เลนนอน เขาพูดด้วยความรู้สึก อารมณ์ และความต้องการที่ไม่ห่างไกลกันเท่าไรนัก
เป็นคำพูดของผู้ที่คิดว่าตัวเองขาดไร้ความรัก และทุกข์ตรมอยู่กับผลลัพธ์ของ "ความจริง"
เพลง "Imagine" อาจได้รับคำสรรเสริญเยินยอว่ามีเนื้อหางดงาม แต่เนื้อหาของมันย่อมต้อง
มีจุดกำเนิดจากความหม่นเศร้าและผิดหวัง มีเพียงชีวิตในโลกแห่งการแบ่งแยก สงคราม และ
ความอยุติธรรมเท่านั้น ที่ผู้คนจำเป็นต้องร้องเพลงอย่าง "Imagine" เพื่อวอนขอความสงบสุข เพื่อปลอบประโลมตัวเองว่า "ความฝัน" อันสวยงามในอุดมคติ "อาจจะ" เป็นจริงได้สักวัน
มนุษย์คงไม่จำเป็นต้องมี "จินตนาการ" หากโลกและชีวิตดำเนินไปตามความคาดหวังโดย
เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ
10
นอกเหนือจากความเป็นนักร้องเพลงรัก และนักร้องเพลงเรียกร้องสันติภาพ ความโดดเด่นที่แท้จริงในผลงานดนตรีของ จอห์น เลนนอน อาจเป็นการประพันธ์บทเพลงประเภท "ตีแผ่ความอ่อนแอของตัวเอง" เขาเป็นนักร้องเพลงร็อกสมัยใหม่คนแรกๆ ที่เขียนเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวชนิดแทบหมดเปลือก ส่วนใหญ่เป็นการเปิดเผยด้านมืดที่เศร้าหม่น สับสน โดยไม่หวาดหวั่นว่าแฟนเพลงจะเหยียดหยามความเป็น "ปุถุชน" ของคนระดับตำนานอย่างเขาแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามกับการสร้างภาพ เพลงของ จอห์น เลนนอน ในยุค "หลังเดอะบีเทิลส์" เกือบทั้งหมดเป็นเพลงที่มีเนื้อหาแบบ "ไม่ห่วงภาพ" ถึงขั้นปลดเปลือยตัวตนของเขาจนเกือบเห็นโครงกระดูก
11
แม่ของ จอห์น เลนนอน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนขณะที่เลนนอนอายุ 17 ปี ส่วนพ่อของเขาทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เลนนอนยังเป็นเด็ก
บทเพลงแรกในอัลบัม John Lennon/Plastic O-no Band ชื่อเพลง "Mother" ไม่ใช่เพลงที่ เจ้าตัว แต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญเทิดทูนมารดาของตัวเองแต่อย่างใด
Mother, you had me But I never had you
I wanted you But you didn't want me
So, I got to tell you Goodbye, goodbye
เนื้อหาของเพลง ที่ขับร้องด้วยน้ำเสียงโอดครวญของคนเจ็บปวดสาหัส จึงไม่ได้มุ่งหวังประจานความบกพร่องในหน้าที่ของผู้ปกครองทั้งสอง
หากแต่เป็นการเปิดโปงสภาวะ "ขาดความอบอุ่น" ของผู้ประพันธ์ หากตีความว่ามันเป็นบทเพลงของมนุษย์ผู้ปราศจากความรัก และผิดหวังกับสภาพแวดล้อมของตนเอง "Mother" ก็คล้ายคลึงกับ ทั้ง2เพลงที่กล่าวมาข้างต้นอย่างน่าประหลาดใจ ประหนึ่งว่า เพลงหนึ่งแต่งโดยหนุ่มหล่อขวัญใจวัยรุ่น เพลงหนึ่งแต่งโดยผู้นำขบวนการประท้วงต่อต้านสงคราม และอีกเพลงหนึ่งแต่งโดยผู้ป่วยทางจิตที่ต้องการ การบำบัดโดย ซิกมุนด์ ฟรอยด์
12
ในส่วนของ"Isolation" หรือ"ความโดดเดี่ยวเดียวดาย" อีกบทเพลงจากอัลบัมเดียวกัน สารภาพว่า
People say we got it made Don't they know
We're so afraid? Isolation We're afraid to be alone
Everybody got to have a home Isolation
"ใครๆ ก็บอกว่าเราได้ดีไปแล้ว พวกเขาไม่รู้หรือว่าเราหวาดกลัวเหลือเกิน" จอห์น เลนนอน หมายถึงตัวเขา ภรรยา และพรรคพวกคนดัง ที่สังคมอิจฉาริษยาในความสำเร็จร่ำรวย แต่กระนั้นคนอย่างพวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีหลุดพ้นจากความรู้สึกหวาดกลัวการถูกทอดทิ้ง ซึ่งมันได้สร้างความทุกข์ลึกๆ ให้มนุษย์ส่วนใหญ่
จอห์น เลนนอน อาจหยิบยกคนอื่นมาอ้างอิงเชื่อมโยงไปกับความรู้สึกของตัวเองบ่อยครั้ง แต่ในความหมายที่แท้จริง เขาไม่ได้พูดถึงใครนอกจากความรู้สึกน้อยอกน้อยใจของตัวเขาเอง
อัลบัมนี้ คับคั่งไปด้วยบทเพลงที่เปิดโปงความทุกข์ ความเก็บกด เปลือยเปล่าและความอ่อนแอ นอกจาก "Mother" และ "Isolation" ยังมี "God" "The dream is over..."หรือ ความฝันสิ้นสุดลงแล้วที่สื่อถึงความสิ้นหวัง และอีกหลายบทหลายตอนในแต่ละเพลงที่ จอห์น เลนนอน กู่ตะโกนบอกกับโลกที่รู้จักเขาดี ว่าเขาเป็นเพียงคนอมทุกข์ที่พยายามหาหนทางดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างสันติ กับความทรงจำขมๆ และความสับสนขื่นๆ ไปให้ได้ก็เท่านั้น
13
หลังจากอัลบัมนี้
หลายเพลงได้รับสถานะความเป็น "อมตะ" ไม่แพ้ "Imagine" และหลายเพลงเช่นกันที่สะท้อนตัวตนของคน ขาดความรักอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เขาเป็นหนึ่งในต้นแบบของนักร้องประเภท "ระบายเรื่องส่วนตัว" ที่กลายเป็นวัฒนธรรมเล็กๆ สืบเนื่องต่อมาในวงการดนตรีร่วมสมัย หากไม่มีเพลงเปลือยอารมณ์ของ จอห์น เลนนอน วงการเพลงอาจจะไม่เคยมี เคิร์ท โคเบน และอาจไม่เคยมีคนอย่างเอมิเน็ม หรือใครก็ตามที่จงใจสร้างสรรค์ผลงานเพลงออกมาจากปัญหาชีวิตส่วนตัว โดยไม่อายและหวาดหวั่นต่อสายตาวิพากษ์ของสังคม
"คุณจะอยู่อย่างเสแสร้งหลอกลวงไปจนวันตายก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่อาจปกปิดบดบัง คือความพิกลพิการภายในจิตใจของคุณ" จอห์น เลนนอน ครวญในบทเพลง "Crippled Inside" จากอัลบัม Imagine นั่นดูเหมือนจะเป็น "คติ" ประจำตัวที่เขาเชื่อมั่นและยึดปฏิบัตินับตั้งแต่หลุดพ้นจากภาพของร็อกเกอร์หนุ่มหนึ่งใน "สี่เต่าทอง" วงดนตรีที่โด่งดังที่สุดในโลก
หรือบางที มันอาจเป็นคติที่เขาได้มาจากประสบการณ์เนิ่นนานก่อนหน้านั้น ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กชาย ไร้ชื่อเสียง ผู้ยื่นแขนร้องขอการโอบกอด แต่ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากใครเลยสักคนเดียว
14
หลังจากห่างหายจากงานเพลงถึง5ปีเพื่อเลี้ยงลูก lennonก็หวนคิดถึงอาชีพนักดนตรี จึงกลับมาทำผลงานเพลงอีกครั้ง เขาเขียนงานเพลง Double Fantasy และบันทึกในปีเดียวกันคือปี 1980 นั่นหมายความว่าโลกใบใหม่ของจอห์นที่เราไม่สามรถคาดเดาได้ว่ามันจะหม่นหมองหรือว่าสดใส แต่ที่แน่ๆมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้งในรูปแบบของบทเพลงที่ทุกคนคุ้นเคย
แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า โชคร้ายกำลังมาเยือนศิลปินผู้โด่งดังแห่งยุค
ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ช่วงบ่ายขณะที่จอห์น เลนนอน อยู่ในสตูดิโอเพื่อกำลังเตรียมตัวอัดเพลงใหม่ ก็มีชายคนนึ่งชื่อว่าMark David Chapman ถือกระดาษกับปากกายื่นให้จอห์น เลนนอน แล้วพูดว่า"ผมจะมีลายเซ็นของคุณเป็นที่ระลึกได้มั้ย?"จอห์นจึงเซ็นลายเซ็น ของเขาให้แล้วก็ไป ทำงานต่อ
บ่ายวันนั้นจอห์นกับโยโกะก็มาอยู่ที่หน้า อพาร์ตเมนต์ของเขา เขาก็พบmark chapmanคนที่มาขอลายเซ็นเขานั้นเอง แต่คราวนี้ในมือเขาไม่ใช่ปากกา กับกระดาษแต่เป็นปืน มาร์คเรียกชื่อ"คุณเลนนอน!!"แล้วเขาก็ยิงปืนไปที่เลนนอนห้านัดรวด กระสุนโดนเลนนอนสี่นัดที่กลางหลัง ส่งผลให้เขาเสียชีวิตทันทีด้วยวัย40ปี
ต่อมา แชปแมนยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุ และอ่านนวนิยายเรื่อง เดอะแคตเชอร์อินเดอะราย ของเจ. ดี. ซาลินเจอร์ที่เขาพกติดตัวมาด้วย จนกระทั่งตำรวจมาถึงอพาร์ตเมนต์ มาร์คยังอยู่ตรงนั้นและกล่าวซ้ำ ๆ ว่านวนิยายดังกล่าวคือแถลงการณ์ของเขา
เขาพูดกับตำรวจว่า"ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน"คุณจะอยู่อย่างเสแสร้งหลอกลวงไปจนวันตายก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่อาจปกปิดบดบัง คือความพิกลพิการภายในจิตใจของคุณ"และคำให้การนี้ก้อคือเนื้อเพลง "Crippled Inside"ของจอห์น เลนนอนที่ประพันธ์ไว้นั่นเอง แชปแมนสารภาพผิดต่อคดีฆาตกรรมระดับสอง
ทีมกฎหมายของแชปแมนยื่นคำแก้ต่างว่าเขาอยู่ในภาวะทางจิตวิกลจริตในขณะนั้น แต่เมื่อใกล้เวลาพิพากษา แชปแมน กลับชี้แนะทนายความของเขาว่าเขาต้องการสารภาพผิด ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจทำเป็นความปรารถนาจากพระเจ้า ผู้พิพากษาเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงคำแก้ต่างโดยไม่ต้องประเมินสภาพทางจิต หลังจากแชปแมนปฏิเสธที่จะรับฟังเสียงใด ๆ และถูกศาลตัดสินโทษจำคุก 20 ปีถึงตลอดชีวิต โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเข้ารับการรักษาสุขภาพทางจิต แชปแมนถูกจำคุกในปี 1981ปัจจุบันเขายังคงอยู่ในเรือนจำ เขายื่นเรื่องเพื่อขอลดโทษและปล่อยตัวกว่า10ครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธ
มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้แชปแมนรู้สึกว่า จอห์นทำให้เขาผิดหวังเป็นอันมาก เช่นการที่จอห์น เคยกล่าวว่า “เดอะบีทเทิลส์โด่งดังกว่าพระเยซู” นั่นทำให้ผู้เคร่งสาสนาอย่างแชปแมน โกรธแค้น เช่นเดียวกับการที่ จอห์นพูดว่า “เขาไม่เชื่อในพระเจ้า” และ “ไม่เชื่อในเดอะบีทเทิลส์”ด้วย
ข่าวระบุว่า ส่วนหนึ่งซึ่งอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้แชปแมนตัดสินใจฆ่าจอห์น เลนนอน นั่นคือ เมื่อเขาได้อ่านหนังสือชีวประวัติของนักร้องดัง เรื่อง “John Lennon: One Day at a Time” เขียนโดยแอนโธนี ฟอว์เซ็ตต์ ในนั้น มีเนื้อหาที่จอห์นบรรยายถึงความรักและสันติภาพในเพลง Imagine แต่ชีวิตจริงของจอห์น กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ แชปแมนกล่าวว่า
“เขาบอกให้เราจินตนาการถึงการไม่ครอบครองทรัพย์สมบัติ แต่เขายังมีเงินเป็นล้านๆ ดอลลาร์ มีเรือยอชท์ มีฟาร์ม และบ้านพักตากอากาศ และหัวเราะเยาะใส่คนอย่างผมที่เชื่อคำโกหกคำโตนั้นและจ่ายเงินซื้อแผ่นเสียงเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเขา”
15
ในปี 2012 อัลบั้มเดี่ยวของเลนนอนขายได้มากกว่า 14 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา ในนามนักแต่งเพลง ผู้ช่วยนักแต่งเพลง และนักร้อง เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับซิงเกิลอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ถึง 25 เพลง ในปี 2002 /ผลสำรวจของบีบีซีในหัวข้อ 100ชาวบริติชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งจัดอันดับให้เลนนอนเป็นบุคคลลำดับที่ 8 ในปี 2008 / นิตยสารโรลลิงสโตน จัดอันดับให้เขาศิลปินยอดเยี่ยมตลอดกาลอันดับที่ห้า. หลังจากเสียชีวิต-เขามีชื่อติดในหอเกียรติยศนักแต่งเพลงในปี 1987 นอกจากนี้ยังมีชื่อติดในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล ถึงสองครั้ง ในฐานะสมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ในปี 1988 และฐานะนักร้องเดี่ยวในปี 1994
บทเพลงดังระดับโลกบทสุดท้ายของ จอห์น เลนนอน ที่ทำให้ทั้งชื่อและผลงานของเขากลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพสำหรับมวลมนุษยชาติ คือเพลง "Imagine" ปี1971 เนื้อหาโดยรวมของเพลงอมตะบทนี้คือการเรียกร้องให้ผู้ฟัง และมวลมนุษย์ชาติทุก ๆ คน "จินตนาการ" ถึงสังคมยูโธเปีย ที่ปราศจากการแบ่งแยกชนชาติ ปราศจากการแบ่งแยกทางศาสนา ปราศจากสงคราม ปราศจากนรกและสวรรค์ ให้มวลมนุษย์ทุกคนฝัน จินตนาการ ถึงสันติภาพที่มีแต่ความรักและการแบ่งปัน
"ผมหวังว่าสักวันพวกคุณจะร่วมฝันไปกับเรา แล้วโลกก็จะอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว".............จอห์น เลนนอน...
...................................................................................................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น